ในพิธีลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เป็นประธานและสักขีพยาน มีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมลงนามจำนวน 15 แห่ง ได้แก่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
(ป.ป.ท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมธนาคารไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ
ก.ล.ต. กล่าวว่า ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ก.ล.ต. ได้ดำเนินมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงินอย่างต่อเนื่อง
โดยร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน ในการกำหนดมาตรฐานป้องกันและจัดการบัญชีม้า รวมถึงมีส่วนร่วมผลักดันการออกพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และผลักดันการออกพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งช่วยยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพิ่มความชัดเจนของกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องมีความรับผิดร่วม
(shared responsibility) ต่อความเสียหายของผู้ใช้บริการหากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
รวมทั้งยกระดับมาตรการป้องกันการใช้แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศเป็นช่องทางฟอกเงิน
โดยร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)
เพื่อดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวนหรือโฆษณาการให้บริการ
(solicit) กับผู้ลงทุนในประเทศไทย
ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ตลอดจนขยายความร่วมมือในการจัดการปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีระหว่างภาคธนาคาร
ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จากการดำเนินมาตรการดังกล่าว
ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถระงับบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลได้กว่า
32,671 บัญชี รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดประมาณ 228 ล้านบาท
(ยอดสะสม ณ วันที่ 30 กันยายน 2568) และ ก.ล.ต.
ได้นำส่งข้อมูลแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้แก่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อดำเนินการปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์มดังกล่าวแล้ว จำนวน 5 แพลตฟอร์ม
พร้อมทั้ง
ก.ล.ต. ได้เดินหน้านโยบายการป้องกันเชิงรุก หรือ Preventive
Anti-Scam for All มุ่งลดความสูญเสียของประชาชนจากภัยหลอกลงทุน
ด้วยการดำเนินงานผ่าน “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน 1207 กด 22”
ซึ่งให้คำปรึกษาและรับแจ้งเบาะแสอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 โดยในเดือนตุลาคม
2568 ได้รับแจ้งและให้คำปรึกษามากกว่า 1,500 ครั้ง
สะท้อนว่าประชาชนตระหนักและต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น
ก.ล.ต.
ยังใช้เทคโนโลยีตรวจจับและปิดกั้นการชักชวนหลอกลงทุนบนสื่อโซเชียล เช่น Facebook
Instagram TikTok และ LINE โดยทำงานร่วมกับผู้ให้บริการสื่อโซเชียลและสามารถปิดกั้นได้ภายในระยะเวลา
7 นาที ถึง 48 ชั่วโมง และปิดกั้นได้ครบ 100% ขณะที่ได้พัฒนาเครื่องมือออนไลน์เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยตนเองเช่นกัน
ได้แก่ SEC Check First ตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้แนะนำที่ได้รับอนุญาต
SEC Investor Alert ตรวจสอบรายชื่อบุคคลหรือองค์กรที่ไม่ได้รับอนุญาต
เว็บไซต์ Scam Center ศูนย์รวมข้อมูลการหลอกลงทุนในรูปแบบต่าง
ๆ
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานในและต่างประเทศ
เช่น เผยแพร่ข้อมูลการหลอกลงทุนผ่าน I-SCAN ขององค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระหว่างประเทศ
(IOSCO) และเชื่อมต่อผู้เสียหายที่โทรเข้ามาปรึกษาไปยังศูนย์
AOC 1441
เพื่อแจ้งความและอายัดบัญชีได้ทันท่วงที
“การลงนาม MOU ครั้งนี้ จึงตอกย้ำบทบาทของ
ก.ล.ต. ในการเป็นศูนย์กลางให้บริการเรื่องภัยหลอกลงทุนแบบครบวงจร มุ่งยกระดับมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน
เพื่อให้ตลาดทุนไทยปลอดภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน” รองเลขาธิการกล่าว